ตะลุยเก็บส้ม ชมใบไม้เปลี่ยนสีและดูไฟกับทริป 1วัน

วันนี้เป็นวันขอบคุณแรงงานของประเทศญี่ปุ่น หรืออีกความหมายเป็นนัยว่า มันคือวันหยุดของผม! ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพุธวันหยุดกลางสัปดาห์ จะได้ลั้นลาเพื่อเป็นการชาร์ทพลังสำหรับการต่อสู้ในที่ทำงานครึ่งสัปดาห์หลัง

วันขอบคุณแรงงานนี้ในปฏิทินญี่ปุ่นเขียนไว้ว่า คิงโรคันฉะโนะฮิ (勤労感謝の日 - きんろうかんしゃのひ) เป็นวันที่พวกเค้าต้องขอบคุณแรงงานอย่างอย่างผมสินะ!

วางแผนไว้แล้วว่าเช้านี้ตื่นมาจะทำอะไร ว่าแล้วก็จัดการตามแผนการที่วางไว้ ด้วยการสะพายสัมพาระไปขึ้นรถบัสทัวร์วันเดียวที่ชินจูกุ รถบัสรอผมอยู่ใกล้ๆสถานีชินจูกุท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ผมและเธอเดินทางถึงสถานีชินจูกุก่อนเวลารถออกนิดหน่อยจึงมีเวลาหม่ำๆอาหารเช้า (ขนมปังที่ผมเตรียมใส่กระเป๋ามา) หลังจากเช็คชื่อ "มาครับ!" เรียบร้อยแล้วก็รอให้รถมาจอดเทียบท่า ระหว่างที่รอก็ไม่ให้เวลาผ่านไปโดยใช่เหตุ ผมกำลังจะหยิบขนมปังขึ้นมากิน 

เธอบอกว่า "ฉันทำอินาริซูชิมา เรามากินด้วยกัน"
ผมคิดในใจ "อ๊ะจึ๋ย! แอบทำตอนไหนหว่า ได้ข่าวว่าเราออกจากบ้านพร้อมกันนะ" แต่ก็แอบดีใจนิดๆ ว่าแล้วก็กินทั้งขนมปังกินทั้งอินาริซูชิหมดเกลี้ยงเลย..อิ่มแปร่ 
หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัสของบริษัททัวร์ที่ชื่อว่า Orion Tour จากสถานีชินจูกุมุ่งหน้าไปยังจุดพักรถที่มีชื่อว่าอูมิโฮตารุ (Umi Hotaru)

อูมิโฮตารุ (Umi Hotaru)

อูมิโฮตารุ (Umi Hotaru) ไม่ได้เป็นแค่เพียงจุดพักรถเพียงอย่างเดียว ที่อูมิโฮตารุยังมีหอคอยให้ถ่ายรูปทะเลจากมุมสูง จากหอคอยสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง และยังมองเห็นวิวเมืองโยโกฮาม่าในฝั่งตรงข้ามทะเลอยู่ริบๆอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆมากมาย เป็นจุดแวะพักรถระหว่างขับเข้า-ออกเมืองและยังเป็นจุดแวะซื้อของฝากได้อีกด้วย อุโมงค์ใต้ทะเลที่เป็นทางลอดเพื่อการจราจรระหว่างโตเกียวกับจังหวัดจิบะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น รถจอดแวะให้เข้าห้องน้ำและเก็บภาพหลังจากนั้นก็จะยิงยาว


เว็บไซด์อูมิโฮตารุ (Umi Hotaru) : https://www.umihotaru.com

หลังจากรถขับออกจากอูมิโฮตารุแล้ว ไกด์ก็แนะนำว่าต่อไปเราจะไปดูการทำน้ำผึ้งกันถึงในสวน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำผึ้งสดๆ สามารถชิมได้ด้วยนะ
สะดุ้งตรงที่ไกด์บอกว่า "สามารถชิมได้ด้วยนะ" นี่แหละมันทำให้ผมใจจดใจจ่อว่าเมื่อไหร่จะถึง
ฮาจิมิสุโคโบ (Hachimizu Kobo)

เมื่อถึงยังสวนผลิตน้ำผึ้ง ฮาจิมิสุโคโบ (Hachimizu Kobo) ผมเห็นขวดน้ำผึ้งวางเรียงเต็มโต๊ะหลากหลายชนิดมากๆ ตื่นเต้นดีใจแต่เจ้าหน้าที่เค้ายังไม่ให้กิน เลยโดนกวาดต้อนให้ไปรับน้ำผึ้งผสมน้ำร้อนอุ่นๆชิมเป็น welcome drink ก่อน จากนั้นก็มีการสาธิตวิธีการผลิตน้ำผึ้งให้ดูอย่างใกล้ชิด

เพิ่งรู้ว่าผึ้งตัวผู้นั้นไม่ทำงาน ผึ้งที่สร้างรังจะเป็นผึ้งตัวเมีย และน้ำผึ้งนั้นจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับเกสรดอกไม้ที่ผึ้งดูดเก็บน้ำหวานมาทำรัง
เจ้าหน้าที่ให้ผู้กล้าหาญอาสาสมัครทดลองหมุนรวงผึ้งเพื่อผลิตน้ำผึ้งด้วยน้ำมือของตนเอง! และแล้วก็มีผู้กล้าหาญคนหนึ่งออกไปแสดงฝีมือ จนในที่สุดก็ได้น้ำผึ้งที่น่ากินและกลิ่นหอมตลบไหลออกมาจากถัง
พอมาถึงขั้นตอนนี้แล้วก็หลีกหนีงานขายไปไม่ได้แล้วครับ เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการพรีเซนต์สินค้า น้ำผึ้ง 3ชนิด ซึ้งได้มาจากดอกไม้ชนิดต่างๆ และบรรยายไปถึงสรรพคุณที่แตกต่างกัน พร้อมความคุ้มค่าในการซื้อ ถ้าซื้อจากสวนแน่นอนอยู่แล้วว่าใหม่ สด และถูกกว่าตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป น้ำผึ้งแท้ 100% นั้นจะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 3ปีหลังจากคั้นสดและเทใส่ขวดโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคใดๆทั้งนั้น
พอผ่านขั้นตอนการพรีเซนต์สินค้าไปได้แล้ว ก็เป็นขั้นตอนที่ผมรอคอย นั่นคือการชิมน้ำผึ้งนั่นเอง สามารถชิมได้ทั้ง 3ชนิด เย่ๆ!
อันที่หนึ่ง ใสปิ้ง อร่อยแบบมีรสนิยม เค้าบอกว่าอร่อยถูกปากคนทั่วไปมากที่สุด เปรียบเสมือนราชินีแห่งน้ำผึ้ง
อันที่สอง สีเข้ม เป็นน้ำผึ้งจากบรรดาดอกไม้นานาชนิด รสชาติเข้มกว่าอันแรกและหวานกว่า
อันที่สาม น้ำผึ้งดำ! เพราะมาจากเกสรต้นโซบะ สรรพคุณสูงมากกว่าบรรดาน้ำผึ้งชนิดทั่วไป แต่รถชาติแย่ที่สุด เหม็นตุตุ เค้าบอกว่ามันถูกนำไปทำยาอมแก้เจ็บคอ

ระหว่างที่ชิมอยู่เจ้าหน้าที่เค้าก็โปรโมทสวนด้วยการชวนให้คลิ๊ก like ใน facebook แล้วจะได้ไอศกรีมเล็กๆอันนึงเพื่อไปกินกับน้ำผึ้ง ผมเลยจัดการเป็นแฟนเพจของสวนนี้เรียบร้อยเลยครับ เพื่อไอศกรีมถ้วยเดียว
เค้าบอกให้ลองกินกับน้ำผึ้งสีดำ ความหวานของไอศกรีมจะช่วยกลบความไม่อร่อยของน้ำผึ้งสีดำได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ สองอย่างนี้เข้ากันได้ดี อร่อยลาภปาก!


เพจของฮาจิมิสุโคโบ (Hachimizu Kobo) : https://www.facebook.com/hachimitsu.koubou


หลังจากนั้นรถบัสจะพาไปที่จุดชมใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทัวร์นี้ โดยที่ไม่มีการพักกลางวันเพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการเดินทาง ทัวร์จะไม่แวะร้านอาหารแต่จะให้ข้าวกล่องทานบนรถแทน
อาหารกลางวันวันนี้เป็น ซูชิ ในกล่อง! ชิ้นใหญ่ๆ ระหว่างที่กินซูชิก็นึกถึงมิโซะซุป (ซุปเต้าเจี้ยว) ขึ้นมาทันที น่าจะมีแจกให้ด้วย แต่คงยากเพราะอาหารพวกน้ำกินบนรถลำบากแถมไม่มีไมโครเวฟเคลื่อนที่ให้อุ่นอาหารอีกด้วย!
โยโรเคโคขุ (Yoro Keikoku)

ก่อนเดินทางถึงโยโรเคโคขุ (Yoro Keikoku) ไกด์แจกแผนที่ให้บนรถและอธิบายการเดินวนเรียบๆแม่น้ำและเขาให้ฟัง 

โยโรเคโคขุ (Yoro Keikoku) เขียนในภาษาญี่ปุ่นว่า 養老渓谷 (ようろうけいこく) บริเวณนี้เป็นเมืองออนเซ็นของจังหวัดจิบะ (Chiba) แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าโยโรเคโคขุออนเซ็นและเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีริมแม่น้ำที่สวยงามแห่งหนึ่ง แม่น้ำที่ทอดยาวไหลผ่านตลอดเส้นทางที่ผมเดินชมนั้นชื่อว่าแม่น้ำโยโร


เว็บไซด์โยโรเคโคขุ (Yoro Keikoku) : http://www.youroukeikoku.com

ใกล้ๆเส้นทางที่ไกด์แนะนำให้เดินเล่นนั้นมีวัดที่ชื่อว่า "ฉุดเสะคันนอน ริคโคคุจิ (Shusse Kannon Rikkokuji - 出世観音立国時)" ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาต้องเดินบันไดขึ้นไปจนลิ้นห้อยพอสมควร พอเดินขึ้นไปถึงก็ตั้งใจว่าจะโยนเหรียญห้าเยนเพื่อไหว้พระขอพรสักหน่อย แต่ปรากฏว่าผมและเธอไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์ลงมาจากรถทั้งคู่! ขำกลิ้งสิครับ งานนี้เลยได้แต่ไหว้พระขอพรโดยไม่โยนเหรียญทำบุญ ฮะฮะ


เว็บไซด์ฉุดเสะคันนอน ริคโคคุจิ (Shusse Kannon Rikkokuji) : http://shusse-kannon.life.coocan.jp

พอไหว้พระเสร็จก็ได้เวลาเดินกลับรถบัสพอดี ต่อไปจะเป็นรายการที่รอคอย นั่นก็คือการเก็บส้ม! ตั้งใจซื้อทัวร์นี้มาเพื่อต้องการเก็บส้มโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย
ลุยสวนส้ม กินไม่อั้น 30นาที

สวนส้มอยู่ไม่ไกลจากโยโรเคโคขุเท่าไรนัก นั่งรถประมาณ 10นาทีก็ถึง พอถึงสวนส้มเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายวิธีการเก็บส้มฟังว่า ให้เลือกส้มที่ห้อยลงมาเยอะขนานกับพื้นแล้ว และสีของส้มบริเวณจุกเปลี่ยนสีเป็นสีส้มหมดแล้ว คือส้มที่พร้อมกิน วิธีการเด็ด..ให้จับที่กิ่งแล้วหมุนส้มจนหลุด จากนั้นหม่ำๆแล้วทิ้งเปลือกส้มลงตะกร้าที่วางอยู่ตามข้างทางในสวนได้เลย ห้ามเก็บยัดใส่กระเป๋ากลับบ้านเด็ดขาด

ว่าแล้วก็เริ่ม start!

เป็นครั้งแรกที่ได้มาสวนส้มในญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่ได้เก็บส้มสดๆจากสวนกิน บางลูกก็เปรี้ยวบางลูกก็หวาน ปลอกส้มจนนิ้วกลายเป็นสีส้มไปเลย 
ผมรู้สึกกว่าสวนนี้กว้างขวางพอสมควร แต่เพราะไม่เคยไปสวนส้มที่อื่นเลยเปรียบเทียบไม่ได้ว่าที่นี่เรียกได้ว่ากว้างในระดับไหน 
หลังจากที่เต็มที่กับ 30นาทีในสวนส้มแล้ว ไกด์ก็พาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับทัวร์นี้ ที่นั่นก็คือหมู่บ้านเยอรมัน
หมู่บ้านเยอรมัน (Country Farm Tokyo German Village)

ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวเพราะฉะนั้นมืดเร็วมาก..ก เดินทางถึงหมู่บ้านเยอรมันประมาณห้าโมงเย็นแต่ท้องฟ้ามืดสนิท สามารถดูการประดับไฟอิลลูมิเนชั่นได้แล้ว

หมู่บ้านเยอรมันมีชื่ออย่างเป็นทางการภาษาอังกฤษว่า Country Farm Tokyo German Village และชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า 東京ドイツ村 (とうきょうドイツむら) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดจิบะ แต่ในชื่อสถานที่มีคำว่าโตเกียวอยู่ด้วย คล้ายๆชื่อของสวนสนุกโตเกียวดีสนีย์แลนด์หรือโตเกียวดีสนีย์ซีย์ที่มีคำว่าโตเกียวอยู่ในชื่อสถานีที่ด้วยทั้งๆที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจิบะ
ที่หมู่บ้านเยอรมันเทศกาลนี้มีการประดับไฟเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ นอกจากเทศกาลปีใหม่แล้วยังมีเทศกาลสวนดอกไม้ต่างๆที่จะจัดหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี


เว็บไซด์หมู่บ้านเยอรมัน (Country Farm Tokyo German Village) : http://t-doitsumura.co.jp

เมื่อถึงหมู่บ้านเยอรมัน สิ่งแรกที่ทำก่อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นคือการกิน! ผมและเธอตรงไปยังร้านอาหารก่อนโซนอื่นๆเพื่อหาไส้กรอกเยอรมันอันเลื่องชื่อมากระทบปากสักหน่อย แต่ไส้กรอกอย่างเดียวก็จะไม่อยู่ท้องเลยต้องตามด้วยราเม็งซุปขาว มื้อนี้อร่อยทุกอย่าง อิอิ ยิ้มแล้วเดินออกไปดูการประดับไฟอิลลูมิเนชั่นด้านนอกอาคารต่อ
มันช่างกว้างอะไรเช่นนี้! เวลาที่ได้มาหมดไปกับการกินสักครึ่งหนึ่ง เหลือเวลาอีกครึ่งหนึ่งเพื่อการเดินเล่น ผมเลยเดินเล่นได้แค่เพียง 2โซนเท่านั้น
ในหมู่บ้านเยอรมันมีชิงช้าสวรรค์ซึ่งเป็นเหมือนไฮไลท์ของที่นี่ในเทศกาลประดับไฟอิลลูมิเนชั่นนี้ ชิงช้าสวรรค์หมุนรอบละ 9นาที ทำให้แถวรอคิวยาวเหยียด..ด ถ้าขึ้นไปดูไฟจากมุมสูงคงสวยน่าดูคนเลยแห่ขึ้นไปเอาความโรแมนติกกันบนนั้น แต่เนื่องด้วยเวลาจำกัดผมจึงไม่ได้ขึ้นไปดูวิวจากมุมสูง
หลังจากที่ชมการประดับไฟเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาขึ้นรถเดินทางกลับชินจูกุ โดยขากลับนี้รถขับกลับแบบ non stop ไม่มีการพักเบรคให้เข้าห้องน้ำเพื่อให้ถึงชินจูกุได้ทันเวลาตามโปรแกรมทัวร์
นับว่าเป็นโปรแกรมที่สมูทอีกโปรแกรมทัวร์หนึ่ง อาจเป็นเพราะรถไม่ติดเลยโชคดี ถึงชินจูกุได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

Kdiary

เคไดอารี่..อีกมุมหนึ่งในญี่ปุ่น by Kaweewat

0コメント

  • 1000 / 1000